จังหวัดกาญจนบุรี คือดินแดนแห่งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่า พรรณไม้ โถงถ้ำ น้ำตก และประเพณีวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนต่างเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทั้งไทย พม่า มอญ ปากะญอ (กะเหรี่ยง) ฯลฯ

ต้นฝนฤดูกาลนี้ เราจะพาคุณผู้อ่านออกไปสัมผัสกับสายน้ำตกชุ่มฉ่ำที่งดงามแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี นั่นคือ “น้ำตกไทรโยคใหญ่”

น้ำตกไทรโยคใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติไทรโยค ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 2 อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี คือ อำเภอไทรโยค และอำเภอทองผาภูมิ มีเนื้อที่  598,750 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2523 ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอเมือง 104 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) บริเวณกิโลเมตรที่ 82 สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินปูน ประกอบด้วยพื้นที่ป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ไทรโยคได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่แห่งเดียวในประเทศไทยที่มีค้างคาวที่เล็กที่สุด ในโลกคือ ค้างคาวกิตติ และ ปูราชินี ปูน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกอาศัยอยู่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทรโยคเคยเป็นค่ายพักแรมของทหารญี่ปุ่น ปัจจุบันปรากฏร่องรอยเตาหุงข้าวและซากเตาไฟอยู่ในพื้นที่ นอกจากนี้ยังพบร่องรอยมนุษย์ยุคหินเก่า มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ น้ำตกไทรโยคใหญ่ ถ้ำดาวดึงส์ และน้ำตกไทรโยคน้อย 

น้ำตกไทรโยคใหญ่ หรือ เรียกอีกชื่อว่า น้ำตกเขาโจน เพราะลักษณะการไหลของน้ำตกจะตกลงมาจากหน้าผาแล้วไหลกระโจนลงสู่แม่น้ำแควน้อย มีน้ำตลอดปี และน้ำจะแรงมากในฤดูฝน และในอดีตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เคยเสด็จประพาส ณ น้ำตกแห่งนี้ ภายในอุทยานฯ มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติหลายเส้นทาง ร่องรอยการตั้งค่ายพักแรมของทหารญี่ปุ่น จุดชมพุต้นน้ำ หรือ ตาน้ำตก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 2 แห่ง คือ น้ำตกไทรโยคใหญ่ และน้ำตกไทรโยคเล็ก และมีจุดชมวิวสะพานแขวนไทรโยคที่จะเห็นน้ำตกไทรโยคได้ชัดเจน

การท่องเที่ยวครั้งนี้เราต้องการมาสัมผัสกับน้ำตกไทรโยคใหญ่อย่างใกล้ชิดเรียกว่าให้น้ำตกไหลโดนตัวกับแบบซู่ๆเลยจึงเลือกใช้บริการของวังนกแก้วปาร์ควิวรีสอร์ทเพราะที่นี่เค้าจะมีบริการลากแพล่องไปน้ำตกไทรโยคใหญ่ตอน 4 โมงเย็นทุกวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์เฉพาะลูกค้าที่มาพักแรมที่นี่เท่านั้น … ข้อมูลนี้เราแอบส่องเฟสบุ๊คของพี่สาวคนสนิทเห็นนางไปเที่ยวมาแล้วบรรยากาศดีมากๆเลยขอตามรอยเค้ามาพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวบ้าง… ไม่ผิดหวัง

การล่องแพใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงน้ำตกไทรโยคใหญ่ตลอดเส้นทางก็จะเห็นธรรมชาติของต้นไม้ป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์  ผ่านแพที่พักต่างๆเป็นระยะวันที่เราไปมีฝนตกปรอยๆเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนไปสัมผัสของจริง

แพโค้งซ้าย-ขวาไปตามล่องลำน้ำในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางน้ำตกไทรโยคใหญ่ช่างสวยงามอลังการจริงๆสายน้ำตกที่ไหลพุ่งออกมาเป็นจุดเด่นที่สร้างความประทับใจได้อย่างมากเมื่อแพเทียบท่าเข้าไปใกล้น้ำตกสายน้ำที่เย็นใสเรียกความสดชื่นและรอยยิ้มแห่งความสุขของนักท่องเที่ยวกว่า 150 คนได้อย่างต้องมนต์ขลังแต่ละคนไม่รอช้ารีบโพสต์ท่าถ่ายรูปและกระโดนน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนานประมาณ 1 ชั่วโมงแพก็จะเริ่มพาเราล่องกลับไปยังที่พักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปรับประทานอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์แบบอิ่มหนำสำราญ

ห่างจากที่พักไปไม่ไกลมากนัก จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเช่นกัน คือ ถ้ำดาวดึงส์ ถ้ำนี้จะมีหินงอก หินย้อยที่สวยงาม แบ่งออกเป็น 3 ห้อง แต่ละห้องก็จะมีหินงอกหินย้อยที่มีรูปลักษณะต่างๆ กันตามแต่จะจินตนาการ เช่น โคมระย้า พระปรางค์ หน้าวัว หน้าคน ช้างแมมมอส และพระเจดีย์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีค้างคาวหน้ายักษ์ และจิ้งหรีดหนวดยาวอาศัยอยู่ด้วย ภายในถ้ำมีไฟส่องสว่างพร้อม อากาศระบายถ่ายเทดี ไม่อึดอัด แต่ทางเดินขึ้นเขาค่อนข้างชัน ไม่เหมาะแก่เด็กเล็กและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในหน้าฝนทางเดินจะลื่นมาก ติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านหน้าก่อนเดินขึ้นเขา เพื่อนำทางและบรรยายรายละเอียดต่างๆ ภายในถ้ำ ที่สำคัญการเดินเที่ยวชมถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย ห้ามน้ำมือไปสัมผัสลูบคลำเด็ดขาด เพราะจะทำให้หินหยุดการเจริญเติบโต … ท่องเที่ยวอย่างรู้คุณค่าควรศึกษากฎ กติกา มารยาททุกครั้ง

อัตราค่าเข้าชมอุทยานฯ ชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท บริเวณอุทยานฯ มีบริการร้านอาหาร แพพัก แพล่อง เรือเช่า บ้านพัก ค่ายพักแรมและสถานที่กางเต็นท์ สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เขตบางเขน โทร. 0 2562 0760

ก่อนกลับเข้าเมืองกรุงฯ หากพอมีเวลาเราขอแนะนำ 2 ที่เที่ยวที่น่าสนใจ คือ วัดถ้ำเสือ และต้นจามจุรียักษ์

วัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ที่ ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง ห่างจากเขื่อนแม่กลองประมาณ 5 กิโลเมตร ทางเข้าวัดต้องผ่านตัวเขื่อนแม่กลองแล้วจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายอีกประมาณ 200 เมตร สังเกตง่ายๆ คือเราจะเห็นเจดีย์องค์ใหญ่งดงามตั้งอยู่บริเวณเนินเขา

วัดถ้ำเสือเดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาด้วยแรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม

เมื่อไปถึงวัดถ้ำเสือด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ และร้านขายของกิน ของฝากต่างๆ ศาลาด้านล่างติดกับบริเวณที่จอดรถเป็นศาลาการเปรียญ ประดิษฐานสังขารหลวงปู่ชื่น ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว มีศาลาประดิษฐานรูปหล่อเจ้าอาวาสหลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อชื่น ซึ่งหลวงพ่อสิงห์เป็นพระธุดงค์ที่มาพบถ้ำเสือ ส่วนหลวงพ่อชื่นเป็นผู้บูรณะปฏิสังขรวัดนี้ และยังมีส่วนที่เป็นถ้ำ แบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีห้องโถงใหญ่ประดิษฐานพระประธาน 2 ห้อง สำหรับหลวงพ่อชื่นมาบำเพ็ญภาวนา และห้องประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม

การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพร และพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น หรือซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไป-กลับ ราคา 10 บาท เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัดด้านหน้า จุดเด่นแรกที่พบก็คือ พระชินประทานพร พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ด้านขวาเป็น พระอุโบสถอัฏมุข มีซุ้มเสมารอบ 8 ทิศ ภายในงดงามด้วยลวดลายปูนปั้นพระพุทธประวัติรอบผนังพระอุโบสถ ทางด้านซ้ายติดกับทางขึ้น-ลงรถลางจะเป็น พระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท ซึ่งมีความสวยงามโดดเด่นด้วยรูปร่างที่มีลักษณะแปลกตา สูง 9 ชั้น แต่ละชั้นจะมีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล เมื่อเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หน้าต่างแต่ละช่องก็จะทำหน้าที่เป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา ให้เราสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบวัดได้  ทั้งภาพมุมสูงของพระชินประทานพร ลำน้ำแม่กลอง ทุ่งนาสีเขียว และองค์พระเจดีย์หมื่นพุทธ ที่มีลักษณะเป็นเก๋งจีน สูง 7 ชั้น ของวัดถ้ำเขาน้อยที่อยู่ติดกันด้วย เมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันเวลา 8.30 – 16.30 น. แต่งกายให้สุภาพ

การเดินขึ้นพระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาทไม่ให้เหนื่อยนั้นเทคนิคง่ายๆคือควรเดินขึ้นแต่ละชั้นแบบไม่เร่งรีบเมื่อเดินถึงแต่ละชั้นแล้วควรอ่านศึกษาเรื่องราวภาพฝาผนังต่างๆที่ทางวัดได้จัดทำขึ้นเพราะมีประโยชน์และได้ความรู้เมื่ออ่านจนครบค่อยเดินขึ้นบันไดไปชั้นถัดไปต่อ

ขยับเข้ามาในเขตตัวเมืองอีกสักหน่อย เพื่อมาชม ต้นจามจุรียักษ์ หรือ ต้นก้ามปูยักษ์ เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะยิ่งใหญ่อลังการ และความงดงามของกิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงเป็นเงาร่มไม้ใหญ่ดุจลายเส้นของงานศิลปะที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มา อายุอานามก็ปาเข้าไป 100 กว่าปีแล้ว ขนาดของลำต้นประมาณ 10 คนโอบ รัศมีทรงพุ่มของต้นเฉลี่ยประมาณ 25.87 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของร่มเงาใหญ่ประมาณ 51.75 เมตร ความสูงของต้นจากพื้นดินสู่ยอดต้นประมาณ 20 เมตร และเนื้อที่ของพุ่มนั้นมีถึงประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา ซึ่งนับว่าหาชมต้นไม้เช่นนี้ได้ยากมากในปัจจุบัน

สำหรับการเข้าชมต้นจามจุรียักษ์นี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เข้าชมได้ระหว่างเวลา 6.00 น ถึง 18.00 น ในพื้นที่รับผิดชอบของกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 กรมการสัตว์ทหารบก อยู่ที่บ้านกสิกรรม หมู่ที่ 5 ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี นักท่องเที่ยวสามารถใช้เส้นทางหมายเลข 3429 ที่แยกจากด้านหน้าศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ตรงไปข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง ผ่านป้อมตำรวจแม่กลอง จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายที่ทางสามแยกวัดถ้ำเขาแหลมไปตามทางอีกประมาณ 5 กิโลเมตรก็จะพบทางสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังเส้นทาง 3209 และขับต่อไปจนเข้าเขตพื้นที่กรมการสัตว์ทหารบก จากนั้นจะมีป้ายบอกเส้นทางไปยังต้นจามจุรียักษ์ตลอดเส้นทาง

การเดินทาง

โดยรถยนต์ส่วนตัว 

เส้นทางกรุงเทพฯ – พุทธมณฑล – นครปฐม – กาญจนบุรี เริ่มจากทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางจังหวัดนครปฐม ขับตรงไปเรื่อยๆ จนถึง กม.69 ให้เตรียมชิดซ้ายเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยกไปทาง อ. บ้านโป่ง จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 323 (ถ.แสงชูโต) ผ่านสามแยกกระจับ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เข้าสู่ จ.กาญจนบุรี ที่ อ.มะกา อ.ท่าท่วง ไปจนถึง อ.เมือง รวมระยะทาง 129 กม.

โดยรสโดยสารประจำทาง

มีรถโดยสารของ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ออกเดินทางทุกวัน ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (ถนนบรมราชชะนี) สอบถามตารางเดินรถและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. หรือ www.transport.co.th

 4,780 total views,  3 views today

Comments

Share.

Comments are closed.

Exit mobile version