มุมสุขภาพ
 
 

+ ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานสำคัญจริงหรือ

 
 

หลายคู่เตรียมลั่นระฆังวิวาห์ในเดือนแห่งความรักนี้ อยากแนะนำว่าก่อนแต่งงานควรพากันไปตรวจสสุขภาพกันเสียก่อน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่ไว้ใจกันและกัน เพราะเชื้อโรคที่พาหะต่างๆ ที่แฝงอยู่ในร่างกายนั้นมีมากมายแม้คุณและคู่จะไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงก็ตาม และการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้น วัตถุประสงค์หลักมักทำเพื่อป้องกันการติดโรคที่สามารถติดต่อกันได้จากคู่สมรส และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ลูก ซึ่งมีพ่อแม่บางคนอาจจะเป็นพาหะนำโรคโดยที่ไม่รู้ตัว โดยขั้นตอนนั้นเริ่มด้วยการ
- ตรวจกรุ๊ปเลือด ให้ทราบว่าแต่ละคนมีเลือดกรุ๊ปใด เพื่อสะดวกในกรณีที่ต้องการเลือดฉุกเฉิน 
- ตรวจความเข้ากันของเลือด Hemoglobin Tying เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงว่ามีความผิดปกติของโรคทาลัสซีเมียหรือไม่ ซึ่งโรคทาลัสซีเมียเป็นโรคที่เกิดจากการสืบทอดทางพันธุกรรมและเป็นโรคหนึ่งที่เป็นกันมาก ซึ่งหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ก็จะส่งผลกระทบเรื่องสุขภาพถึงลูก 
-  ตรวจชนิดของเลือด (Rh Factor) คนไทยโดยทั่วไปจะมีค่า Rh+ แต่บางคนก็อาจพบได้ว่ามีชนิด Rh- ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเลือด Rh- เมื่อตั้งครรภ์จะทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้สูงมาก  
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดซึ่งเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากพบว่ามีเชื้อแสดงว่าคุณเป็นพาหะนำโรค ซึ่งสามารถติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์และสายเลือด ถ้าหากไม่มีการป้องกันให้ดีอาจทำให้ลูกน้อยในครรภ์มีโอกาสติดเชื้อได้ 
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน หากไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดวัคซีนและคุมกำเนิดไว้อย่างน้อยสามเดือน เพราะหากติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกพิการหรือแท้งได้ 
- ตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ หากพบเชื้อจะได้ป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัย และคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการติดต่อไปสู่ลูก โปรแกรมการตรวจต่างๆ เหล่านี้ เราสามารถที่จะตรวจได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งมีไว้บริการ

 
 

 

+ระวังกระดูกคอและไหลกันหน่อย
 

     เมื่อเร็วๆ นี้ รายการโทรทัศน์ CBS This Morning ของสหรัฐอเมริกา รายงานเกี่ยวกับความเห็นของนายแพทย์อัลตัน แบร์รอน แพทย์ด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ จากโรงพยาบาล St. Luke's-Roosevelt ซึ่งระบุไว้ว่า นิสัยการใช้เทคโนโลยีของคนในยุคปัจจุบัน ก่อให้เกิดอันตรายต่อคอและหลังโดยไม่รู้ตัว นิสัยดังกล่าวคือการก้มพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ซึ่งเป็นท่าที่ต้องอาศัยการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและหลังส่วนบน ลองนึกภาพตามหากคุณต้องเอียงศีรษะคุยโทรศัพท์นานๆ ความเมื่อยต้องถามหาแน่นอน
    ซึ่งโดยปกติศีรษะของมนุษย์มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 - 5.5 กิโลกรัม ซึ่งคอและไหล่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับน้ำหนักเท่านี้เป็นระยะเวลานานได้ โดยทุกๆ ครั้งที่เราก้มหัวไปข้างหน้า 2.5 เซ็นติเมตร กล้ามเนื้อที่คอจะเกร็งมากขึ้นสิบเท่า และหากเราก้มหัวไปข้างหน้ามากถึง 7.62 เซ็นติเมตร ก็จะเท่ากับการเพิ่มน้ำหนักให้ศีรษะมากถึง 13.6 กิโลกรัม โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีผลการศึกษาจากAmerican Public health Associationที่สนับสนุนข้อคิดเห็นนี้มาแล้ว โดยที่ผลการศึกษาระบุว่าอาการปวดคอและไหล่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ทำการศึกษานั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากนิสัยการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ติดการส่งข้อความหรือแชตผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา ก็ควรหยุดพักบ่อยครั้ง ออกกำลังกายกล้ามเนื้อด้วยการยืดศีรษะ คอ และหลัง รวมถึงยกโทรศัพท์ให้สูงขึ้นเพื่อให้ลำคอและกระดูกสันหลังขนานกันเป็นเส้นตรง

 

 


 
 

+ มาเดินออกกำลังกายยามเช้ากันเถอะ

 
 

ตอนเช้ายามที่พระอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ การเดินเพื่อออกกำลังกายจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้ดี แถมวิตามิน D ในแสงแดดก็ช่วยให้กระดูกแข็งแรงอีกด้วย แต่มันอาจจะน่าเยื่อหากต้องเดินคนเดียว การมีเพื่อนร่วมเดินด้วยจะดีตรงที่ต่างคนต่างช่วยให้กำลังใจกัน แนะนำให้เริ่มด้วยเทคนิกเหล่านี้
• อุ่นเครื่อง 5 นาที เริ่มจากเดินช้าๆ พร้อมแกว่งแขนและยืดขาไปด้วยเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องให้กล้ามเนื้อ คุณสามารถเดินคุยกับเพื่อนไปพร้อมๆ กันได้
• เดินออกกำลัง 20 นาที ใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับคุณ สังเกตการเคลื่อนไหวที่รองรับกับสรีสระร่างกายของคุณ พยายามเดินอย่างมีจุดมุ่งหมายไปตลอด 20 นาที พร้อมกับเดินบิดซ้ายขวาไปด้วย
• เมื่อเริ่มโปรแกรมการเดิน ให้เริ่มจากเดินช้าๆ ไปตลอด 20 นาที (ในช่วงนี้ คุณสามารถเดินไปคุยไปได้) พยายามทำตัวตามสบาย และสนุกกับการเดิน เรื่องความเร็วยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องคำนึงในตอนนี้
• สำหรับนักเดินที่ร่างกายมีความอึดขึ้นแล้ว แบ่งเวลา 20 นาทีนี้ออกเป็นช่วงเดินด้วยความเร็วปานกลาง และช่วงเดินเร็ว โดยแบ่งให้มีช่วงพักประมาณ 5 นาที ซอยฝีเท้าให้ถี่ขึ้นเพื่อเดินได้เร็วขึ้น อาจจะลดการพูดคุยลงเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจจะถี่มากขึ้น
• เมื่อคุณรู้สึกว่าสามารถเดินเร็วได้มากขึ้นแล้ว เร่งความเร็วในการเดินเป็นการเดินเร็วไปตลอด 20 นาที
• พักเหนื่อย 5 นาที แต่อย่าพักแบบนั่งนิ่งเฉยๆ ควรหันกลับไปเดินช้าๆ อย่างตอนแรก เหวี่ยงแขน ยืดขา และอาจเดินคุยกับเพื่อนด้วยก็ได้ ระหว่างนั้นอย่าลืมชมธรรมชาติรอบๆ ตัวไปด้วย การได้มองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ฟังเสียงนกร้องจะทำให้จิตใจของคุณนั้นเบิกบาน พร้อมรับวันใหม่



 

 

+ อาหารเช้าดีมีประโยชน์...กินแล้วไม่อ้วน

 

   มื้อเช้านั้นเป็นมื้ออาหารที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะอาหารในมื้อนี้จะเป็นพลังงานเบื้องต้นสำหรับขับเคลื่อนการทำงานของร่างกายในแต่ละวัน ในมื้อเช้าสาวๆ หนุ่มๆ ทั้งหลายควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตแบบเชิงซ้อน จำพวกข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ซีเรียลชนิดต่าง ๆ ขนมปังโฮลวีต เพื่อให้ร่างกายได้รับกลูโคสอย่างช้า ๆ และเลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น อาหารตระกูลไข่ ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ เนื้อปลา และอาจเติมไขมันจากนมวัว นมถั่วเหลือง หรือถั่วบางชนิด เช่น ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ ธัญพืชบางชนิด เช่น งาดำ งาขาว เมล็ดทานตะวันเข้าไปในมื้ออาหาร ส่วนสาว ๆ บางคนที่ไม่กล้าดื่มนม เพราะกลัวอ้วน ลองเลือกดื่มเป็นนมพร่องมันเนย น้ำนมถั่วเหลือง หรือโยเกิร์ตแทน นอกจากนี้การดื่มนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตยังช่วยเผาผลาญไขมัน และลดการสะสมของไขมันในร่างกาย พร้อมทั้งป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

 

 
 


 
 
 

Copyright © นิตยสารคู่หูเดินทาง / MJ Media Company Limited