ภัยใกล้ตัว
 
 

ภัยหญิงเมื่อต้องเดินทางยามค่ำคืน
 

      

    

        ก่อนอื่นคงต้องขอสวัสดีทีมงาน 'คู่หูเดินทาง' และผู้อ่านทุกท่านค่ะ ดิฉันติดตามคอลัมน์ 'ภัยใกล้ตัว' อยู่เสมอๆ อ่านแล้วรู้สึกมีประโยชน์ดีเหมือนคอยช่วยเตือนให้เราไม่ตกอยู่ในความประมาท เพราะทุกวันนี้ภัยสังคมรอบๆ ตัวเรามันมีอยู่มากมายหลายรูปแบบเหลือเกิน แต่ยังไงดิฉันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเปลี่ยนสถานะจากผู้อ่านมาเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ (ที่ไม่สู้จะดีนัก) แต่ก็อย่างว่าแหล่ะค่ะ..ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ความโชคร้ายจะมาเยือนเรา

        ดิฉันคิดว่าหลายท่านคงมีโอกาสได้รับจดหมายส่งต่อหรือที่เรียกว่าฟอร์เวิร์ดเมล์ (Forward mail) เกี่ยวกับการมอมยาหรือป้ายยาเพื่อชิงทรัพย์ หรือหวังทำมิดีมิร้ายกันมาบ้างแล้ว ก่อนอื่นต้องบอกว่าตัวดิฉันเองได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ลักษณะนี้เยอะมากค่ะ ทั้งจากเพื่อนฝูงและคนที่รู้จัก บอกตามตรงว่าแม้อ่านแล้วจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่อีกใจหนึ่งกลับตั้งข้อสงสัยอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ? เพราะดิฉันเคยลองถามเพื่อนที่เป็นพยาบาลบางคนเขาบอกว่า ยาประเภทที่ป้ายปุ๊บแล้วสลบปั๊บหรือสะลึมสะลืออย่างรวดเร็วขนาดที่ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำจนจำความไม่ได้เลยนั้น ไม่น่าจะมีอยู่จริง เพราะในทางการแพทย์ที่ต้องวางยาสลบเพื่อทำการรักษาผู้ป่วยนั้นก็ยังต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งเพื่อรอให้ยาออกฤทธิ์ บางครั้งเมื่ออ่านฟอร์เวิร์ดเมล์ประเภทที่บอกว่าโดนป้ายยาหรือรมยาแล้วสั่งให้ปลดทรัพย์สินให้กับวายร้ายพวกนั้นดิฉันจึงคิดไปว่าจริงๆ แล้วคน(เหยื่อ) เหล่านั้นโดนแก๊งตกทองเล่นงานเข้าให้โดยเสนอเงิน-ทองหรือเสนอผลประโยชน์ที่แบบฟังแล้วตาลุกโชนหรือเปล่า รายไหนก็รายนั้นดิฉันเห็นแล้วตายน้ำตื้นเพียงเพราะความโลภของตัวเองแทบทั้งสิ้น ครั้นพอตั้งสติได้ว่าโดนหลอกแน่ก็รู้สึกอับอายไม่กล้าเปิดเผยความจริงกับใครโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างว่าโดนมอมยาบ้าง โดนป้ายยาสั่งบ้าง ข้อสันนิฐานเหล่านี้คือสิ่งโต้แย้งที่ทำให้ดิฉันยังไม่ปักใจเชื่อว่าพวกป้ายยา-มอมยานั้นเป็นเรื่องจริง

        จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นั่นแหล่ะที่ดิฉันโดนเข้ากับตัวเองจริงๆ ถึงมั่นใจว่าเรื่องพรรค์นี้น่าจะมีอยู่จริง
เรื่องของเรื่องคือ.. เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาดิฉันนัดหมายกับเพื่อนสนิท 3–4คน ไปนั่งทานข้าวกันตอนช่วงหลังเลิกงาน (โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ) เรานั่งคุยนั่งทานกันจนเกือบประมาณห้าทุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้านตามปรกติ โดยดิฉันเรียกแท๊กซี่จากราชประสงค์ให้ไปส่งที่คอนโดมิเนียมแถวย่านสำโรง ช่วงแรกๆ ที่รถแท็กซี่ยังวิ่งอยู่ในเขตเมืองเหตุการณ์ก็ดูเหมือนจะปรกติดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและตัวดิฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกง่วงหรือเพลียแต่อย่างใด ส่วนคนขับก็ชวนดิฉันพูดคุยบ้างตามประสา จนเมื่อรถแท๊กซี่แล่นออกนอกเขตเมืองไปได้สักพักรถราบนถนนก็เริ่มบางตาขึ้น จังหวะนี้เองที่ดิฉันสังเกตเห็นคนขับลอบมองมาที่กระจกส่องหลังบ่อยขึ้น และแถมยังทำทีปรับระดับกระจกที่ดูเหมือนจะทำให้เขาสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ดิฉันนั่งอยู่ให้ชัดเจนขึ้น ตอนนั้นดิฉันยังไม่ได้ว่าอะไรออกไปเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไร เพียงแต่แอบสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ โดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขาอีก อีกครั้งหนึ่งที่ดิฉันเห็นว่าค่อนข้างผิดสังเกตก็คือ คนขับรถแท๊กซี่พยายามเอื้อมมือมาปรับช่องแอร์ตรงกลางคอนโซลทั้งสองช่องให้เป่าตรงมาทางตำแหน่งที่ดิฉันนั่ง (เบาะหลังด้านซ้าย) เขาทำเช่นนี้อยู่ 2-3 ครั้ง โดยอ้างว่าแอร์เย็นและมันหันไปทางเขาแค่ฝั่งเดียว ดิฉันก็เลยบอกกลับไปว่าอย่างนั้นก็ให้เบาแอร์ลงมาหน่อยก็ได้ เพราะไม่ได้รู้สึกร้อนอะไร -- แต่เขาก็ยังปรับแอร์มาที่ตำแหน่งเดิมที่ดิฉันนั่ง

        เพียงไม่กี่อึดใจ.. ต้องเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าดิฉันรู้สึกง่วงและมึนขึ้นมาอย่างกระทันหัน! เป็นความง่วงชนิดที่ว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกง่วงได้มากมายขนาดนี้มาก่อน หนังตาทั้งสองข้างมันหนักอึ้งจนแทบจะปิดลงมาให้ได้ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาดิฉันยังรู้สึกเป็นปรกติอยู่เลย วินาทีนั้นดิฉันคิดว่าน่าจะมีอะไรผิดปรกติแน่ ถ้าไม่เพราะร่างกายของดิฉันเองก็ต้องเป็นเพราะสาเหตุอื่น?!? เสี้ยววินาทีหนึ่งดิฉันคิดถึงฟอร์เวิร์ดเมล์ต่างๆ ที่ว่านั้นขึ้นมา.. ลักษณะอาการและพิรุทของคนขับแท๊กซี่ที่ดิฉันกำลังประสบกับเนื้อหาในฟอร์เวิร์ดเมล์ต่างๆ พวกนั้นมันคล้ายกันมาก เท่าที่สติยังเหลืออยู่ดิฉันพยายามทำทุกอย่างตามที่ข้อมูลในฟอร์เวิร์ดเมล์พวกนั้นแนะนำคือ ให้กินน้ำเยอะๆ และทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ให้ตัวเองเผลอหลับลงไป ทั้งหยิกเนื้อตัวเองบ้าง กัดลิ้นตัวเองบ้างเพื่อที่จะให้รู้สึกตัวและได้สติ โชคดีที่ปรกติดิฉันมักมีขวดน้ำติดกระเป๋าไว้ด้วยเสมอก็เลยรีบยกขึ้นมาดื่มจนหมดจึงพอช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง และจังหวะที่ยกขวดน้ำขึ้นดื่มนี่เองที่ดิฉันสังเกตเห็นคนขับแท๊กซี่รายนั้นพยายามจ้องมองมาที่ดิฉันตลอด ใจมันก็เลยพาลคิดว่าใช่แน่แล้ว ดิฉันคงต้องโดนอะไรเข้าสักอย่างแน่ จากนั้นดิฉันก็รีบกดโทรศัพท์มือถือทั้งๆ ที่ยังง่วงและมึนอยู่สุดขีดเข้าไปเครื่องของน้องสาวซึ่งพักอยู่ที่เดียวกัน ดิฉันบอกให้เธอรีบลงมารอที่ลานจอดรถและให้เรียก รปภ. มาด้วยเพราะตอนนี้รู้สึกผิดปรกติมาก โชคดีที่น้องสาวดิฉันนึกขึ้นได้เลยถามกลับมาว่ารถแท๊กซี่คันที่ดิฉันนั่งมาหมายเลขอะไร ดิฉันก็เลยตอบกลับไปและนั่นคงทำให้คนขับแท๊กซี่ได้ยินว่าดิฉันได้บอกหมายเลขรถของเขาให้คนอื่นรู้แน่แล้ว เขาจึงทำทีเหมือนถามว่าดิฉันเป็นอะไรหรือเปล่า จะให้เขาพาไปส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ ไหม -- ดิฉันฝืนตอบกลับไปว่า.. ไม่เป็นไรและเมื่อกี้นี้ได้โทรไปบอกน้องและ รปภ.ให้มารับที่ลานจอดรถแล้ว นั่นล่ะถึงทำให้เขาดูลดอาการลุกลี้ลุกลนลง หลังจากที่น้องสาวและ รปภ. ช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ค่อยยังชั่วขึ้นดิฉันก็ลากสังขารขึ้นไปนอนสลบไปจนถึงช่วงสายของอีกวันแบบงงไม่หายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา

        สิ่งเดียวที่ดิฉันอยากเขียนมาเพื่อบอกแก่บรรดาเพื่อนผู้หญิงทั้งหลาย ที่จำเป็นต้องเดินทางในช่วงค่ำคืนหรือจำเป็นต้องอาศัยรถยนต์รับจ้างประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะแท๊กซี่ รถตู้ หรือรถโดยประเภทอื่นๆ สิ่งที่คุณต้องระลึกไว้อยู่เสมอก็คือ เราผู้หญิงมีโอกาสตกอยู่ในสายตาของเหล่ามิจฉาชีพหรือบุคคลผู้ไม่หวังดีกับเราอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่จะช่วยให้รอดพ้นจากเหตุอันวิกฤตเหล่านั้นได้มีเพียงอย่างเดียว คือ 'สติ' เท่านั้น ความมีสติจะช่วยให้เราคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ไม่ทางใดก็อย่างหนึ่ง ซึ่งดีกว่าการตกเป็นเหยื่อโดยไม่มีทางต่อสู้ใดๆ เลย



 
 
 

Copyright © นิตยสารคู่หูเดินทาง / MJ Media Company Limited