จังหวัดสมุทรปราการเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ตั้งอยู่ทางปลายสุดของแม่น้ำเจ้าพระยา ทางด้านเหนือของอ่าวไทย นิยมเรียกกันว่าเมืองปากน้ำห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 25 กิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีภูเขา มีลำคลองมากและบางแห่งก็มีน้ำท่วม ในช่วงฤดูแล้งน้ำจะเค็มจัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นนาและสวน มีป่าแสม ไม้ปรง โกงกาง และป่าจาก

ด้วยเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดกรุงเทพฯ การเดินทางจึงสะดวกสบายมาก เพราะมีทางด่วนตัดผ่านหลายจุด ทำให้การไปเที่ยวในแต่ละที่ใช้เวลาเดินทางน้อยลง ยิ่งในเรื่องของอาหารการกินยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเมืองนี้เป็นเมืองปากน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา บรรดาเหล่าอาหารซีฟู้ดทั้งหลายรับรองได้ว่า สด..ซด..สด!

ฉบับนี้ คู่หูเดินทางจะขอพาคุณผู้อ่านไปสัมผัสกับทริปสั้นๆ ในจังหวัดสมุทรปราการที่จะพาให้คุณสุขสันต์ได้ภายในหนึ่งวันจัดเต็ม!

เริ่มต้นทริปกันที่ พระสมุทรเจดีย์ หรือ พระเจดีย์กลางน้ำ ตั้งอยู่ที่ ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัด โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลาง ซึ่งถือเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมือง และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญและภาคภูมิใจของชาวสมุทรปราการ โดยสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดจะมีรูปพระสมุทรเจดีย์สีขาวอยู่ตรงกลาง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นบนเกาะที่มีน้ำล้อมรอบ และได้พระราชทานนามพระมหาเจดีย์นี้ว่า “พระสมุทรเจดีย์”  เนื่องจากมีพระราชประสงค์ให้เป็นศาสนสถานอันเป็นพระมหาเจดีย์คู่เมืองสมุทรปราการสืบต่อไป แต่การก่อสร้างยังไม่ทันได้เริ่มต้น พระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน รัชกาลที่ 3 จึงได้ดำเนินการก่อสร้างตามพระราชประสงค์เดิมของสมเด็จพระบรมชนกนาถจนแล้วเสร็จ โดยสร้างเป็นแบบย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทอดพระเนตรสภาพทั่วไปของพระสมุทรเจดีย์ ทรงมีพระราชประสงค์จะสถาปนาให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อความโดดเด่นสง่างาม และใช้เป็นจุดสังเกตสำหรับเรือของชาวต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายในไทย ที่สำคัญคือป้องกันคนใจบาปมาขโมยพระบรมสารีริกธาตุได้ด้วย จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างไปถ่ายแบบพระเจดีย์ลอมฟางที่กรุงศรีอยุธยา แล้วโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นราชสีหวิกรมเป็นนายช่างจัดการสร้างพระเจดีย์แบบลอมฟางครอบพระเจดีย์เดิม นอกจากนี้ยังทรงสร้างศาลาเก๋งจีน, หอเทียน, หอระฆัง, พระวิหาร และพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พร้อมหลักผูกเรือริมน้ำรอบองค์พระสมุทรเจดีย์ และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ จากพระบรมมหาราชวังแห่มาทางชลมารคบรรจุไว้ตามโบราณราชประเพณี ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่จนเป็นประเพณีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในทุกวันแรม 5 ค่ำเดือน 11 (งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์) โดยมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานบุญนี้เป็นจำนวนมาก ภายในงานจะมีประเพณีการห่มผ้าแดงให้แก่องค์พระสมุทรเจดีย์ ซึ่งชาวบ้านจะช่วยกันเย็บผ้า และมีพิธีการบวงสรวงขบวนแห่ผ้าแดงทั้งทางบกและทางน้ำ

เมื่อเดินทางออกจากพระสมุทรเจดีย์มุ่งหน้าตรงมาจะเจอหอนาฬิกาสามแยกพระสมุทรเจดีย์ให้ขับตรงไป เพื่อมุ่งหน้าไปเที่ยวต่อกันที่ ป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือ ป้อมพระจุล อนุสรณ์สถาน ตั้งอยู่บริเวณริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลแหลมฟ้าผ่า ซึ่งเป็นป้อมที่ทันสมัย และมีบทบาทสำคัญยิ่งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ เป็นที่ทำการยิงต่อสู้กับอริราชศัตรูมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ ร.ศ.112 (พ.ศ. 2436) โดยภายในป้อมจะประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญและน่าสนใจมากมาย เช่น  พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีความสง่างามยิ่ง โดยทรงฉลองพระองค์ในชุดกองทัพเรือ พระหัตถ์ถือกระบี่ ใต้ฐานพระบรมราชานุสารีย์เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของป้อมพระจุลจอมเกล้า และเหตุการณ์ในสมัย รศ.112 ด้านข้างริมแม่น้ำจะเป็น พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง ซึ่งถือว่าเป็นเรือรบลำแรกของประเทศไทย และเป็นลำที่ 2 ของโลกต่อจากประเทศญี่ปุ่น มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดในกองทัพเรือ คือกว่า 60 ปี ทางกระทรวงกลาโหมจึงได้อนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ ในบริเวณฝั่งตรงข้ามพระบรมอนุสาวรีย์จะเป็น อุทยานฯ ประวัติศาสตร์ทหารเรือ ประกอบด้วยอาคารนิทรรศการ และการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์กลางแจ้ง นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเชิงอนุรักษ์ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกกระยาง นกนางนวล ปลาตีน ปูลม หรือปูก้ามดาบ เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2475-6109, 0-2475-6259, 0-2475-6072

สำหรับท่านที่ต้องการรับประทานอาหารพร้อมชมวิวบรรยากาศริมแม่น้ำ ที่นี่ก็มี “สโมสรท้ายเรือหลวงแม่กลอง” ให้บริการ อาหารอร่อย ราคาย่อมเยา เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 – 22.00 น. พิเศษในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์จะมีขนมจากโบราณย่างเต่าถ่านหอมหวานแสนอร่อยมาขาย เหมาะที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย

จากจุดนี้ขับออกมาประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนข้ามสะพานสรรพสามิตให้เลี้ยวซ้ายไปประมาณอีก 6 กิโลเมตร จะพบท่าเรือป้ารี่ ท่าเรือที่จะพาท่านไปยัง วัดขุนสมุทรจีน หรือ วัดขุนสมุทรทราวาส ราคาค่าเรือคนแรก 100 บาท คนต่อๆ ไปคนละ 10 บาท ตลอดเส้นทางจะพบเห็นป่าจากและนกน้ำชนิดต่างๆ ซึ่งธรรมชาติในบริเวณนี้ยังค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ใช้เวลานั่งเรือไม่ถึง 10 นาที ก็จะถึงท่าเรือของวัด จากนั้นให้ขี่จักรยานของทางวัดที่เตรียมไว้ให้สำหรับญาติโยมที่มาเยี่ยมชมและทำบุญ หากไม่มีก็คงต้องเดินกางร่มต่อไปให้ถึงวัดอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นถนนคอนกรีตเล็กๆ ที่มีรั้วกั้นกันตกข้างทางตลอดแนว ภายในวัดนี้มีสิ่งที่น่าสนใจ คือ โบสถ์ที่จมน้ำทะเลไปเกือบครึ่งหลัง ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะชายฝั่ง หนึ่งในปัญหาโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาอยู่ ปัจจุบันโบสถ์นี้ก็ยังสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ แต่ทางเข้าจะเตี้ยมากต้องคลานเข้าไป มี “หลวงพ่อปากแดง” เป็นพระประธานในโบสถ์ บริเวณด้านนอกมีศาลาไม้ริมทะเล ประดิษฐานหลวงพ่อโต และหลวงปู่ทวด ส่วนอีกด้านจะเป็นเก๋งจีนที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ มีจุดนั่งพักให้รับลมเย็นริมทะเลอย่างสบายใจ มองออกไปไกลๆ จะเห็นเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ในทะเล นั่นคือหลักฐานที่แสดงให้รู้ว่าในสมัยก่อนบริเวณนั้นเคยเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชุมชนขุนสมุทรจีนมาก่อน

จบทางฝั่งอำเภอพระสมุทรเจดีย์กันแล้วให้ขับรถข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา กลับมายังอำเภอเมืองสมุทรปราการ เพื่อเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ หรือ ช้างสามเศียร เป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะขึ้นรูปด้วยมือเป็นแห่งแรกในโลก ทำจากโลหะทองแดงนับแสนชิ้นแผ่นเล็กสุดขนาดเท่าฝ่ามือนำมาย่างไฟให้อ่อนตัว แล้วเคาะเรียงต่อกันด้วยความประณีต ตัวช้างรวมอาคารมีความสูง 43.60 เมตร สร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาของโบราณที่ คุณเล็ก  วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งได้สะสมไว้ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางศิลปกรรมเท่านั้น หากยังเป็นรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ของคนโบราณ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บ้านเมืองและแผ่นดิน

เมื่อซื้อบัตรผ่านเข้าชมเรียบร้อยแล้วสามารถนำหางบัตรไปรับดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชาองค์ช้างสามเศียรได้จากนั้นให้นำถ้วยที่ใส่ดอกบัวที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดเตรียมไว้ไปลอยขอพรบริเวณสระน้ำด้านข้างเพื่อเป็นสิริมงคลตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ  บริเวณฐานขององค์ช้างสามเศียรหรือชั้นใต้ดินชื่อชั้น “สุวรรณภูมิ” ภายในจัดแสดงนิทรรศการและโบราณวัตถุจำนวนมากอาทิพระพุทธรูปเทวรูปและถ้วยชามเครื่องใช้ในสมัยจีนโบราณจากนั้นให้เดินขึ้นไปด้านบนเพื่อเข้าชมประติมากรรมซึ่งอยู่ด้านในขององค์ช้างสามเศียรชั้นนี้เรียกว่า “ชั้นโลก” คุณจะพบกับสถาปัตยกรรมอันงดงามวิจิตรบรรจงการผสมผสานของศิลปะหลากหลายรูปแบบเช่นการใช้สีฝุ่นในการเขียนลวดลายการใช้กระจกสีมาตกแต่งบริเวณเพดานเป็นรูปแผนที่โลกขนาดใหญ่โดยมีเสาใหญ่สี่ต้นที่แสดงถึง 4 ศาสนาหลักที่คอยค้ำจุนโลกแต่ละต้นก็จะมีลวดลายที่สวยงามแตกต่างกันออกไปตามแต่ละศาสนา  ด้านซ้ายขวาจะมีบันไดเงินและบันไดทองนำท่านขึ้นสู่ชั้นสูงสุดชื่อว่า “ชั้นจักรวาล” ตกแต่งเป็นผังที่ตั้งเขาพระสุเมรุซึ่งในไตรภูมิกล่าวไว้ว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาลประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลองและพระพุทธรูปปางลีลาด้านข้างจัดแสดงพระพุทธรูปโบราณในสมัยต่างๆซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของพิพิธภัณฑ์อยู่ตรงช่วงกลางของท้องช้างเอราวัณ

ในส่วนบริเวณด้านนอกจัดให้เป็นอุทยานพรรณไม้ในวรรณคดี และพันธุ์ไม้หายาก ที่สอดแทรกไปด้วยประติมากรรมลอยตัวสวนของป่าหิมพานต์จัดวางตกแต่งอยู่โดยรอบสวนเป็นระยะ เพื่อให้ผู้ที่มาเที่ยวชมสามารถนั่งพักผ่อนรับลมเย็นๆ พร้อมชมความงดงามทั้งภายในและภายนอกอาคารได้แบบเต็มตา

อัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 200 บาทเด็ก (อายุ 6-15 ปี) 100 บาทชาวต่างชาติ 400 บาทเปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 9.00 – 20.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2371-3135-6

ปิดทริปยามเย็นกันที่ สถานตากอากาศบางปู ซึ่งเป็นสถานที่ตากอากาศที่มีชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน และเป็นสถานที่พักผ่อนของกรมพลาธิการทหารบก มีร้านอาหารและที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว ภายในบริเวณมีธรรมชาติอันสมบูรณ์ในพื้นที่ 639 ไร่ มีสะพานสุขตาที่ทอดตัวเหยียดยาวออกไปในทะเลตลอด 500 เมตร เพื่อนำท่านไปสู่จุดดูนกนางนวลและชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นแหล่งชมปลาสองน้ำเพราะเป็นเขตรอยต่อของปากแม่น้ำกับทะเลอ่าวที่จะพบกลุ่มปลาน้ำกร่อย อย่างปลาเสือพ่นน้ำกร่อย ปลาตีน ปลากระทุงเหว ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี จะมีนกนางนวลอพยพหนีหนาวจากแถบไซบีเรียมาพักอาศัยในบริเวณนี้ สนุกสดชื่นกับบรรยากาศยายเย็นแล้ว ก็อย่าลืมซื้ออาหาร (กากหมู) ที่มีขายข้างทางเลี้ยงคุณนกนางนวลกันด้วยนะ เพราะคุณจะได้เห็นความฉลาดและรวดเร็วในการบินมาโฉบอาหารของมัน เปิดให้เข้าชมฟรี มีที่จอดรถเฉพาะด้านนอกเท่านั้น

เมื่อเดินเข้าไปจนสุดทางจะเป็นร้านอาหารศาลาสุขใจ บริการอาหารทะเลใหม่สดรสชาติอร่อย เปิดให้บริการทุกวัน 10.00 – 20.00 น. และในทุกวันเสาร์จะมีกิจกรรมเต้นรำ และลีลาศ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 21.00 น. สำหรับท่านใดที่ต้องการพาคุณพ่อคุณแม่มาย้อนวันวาน สถานที่นี้รียกว่า “ใช่” และน่าจะ “ถูกใจ” ท่านมากที่สุดแล้ว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2323-9911

เป็นไงกันบ้างครับกับทริปเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพที่คู่หูเดินทางเราคัดสรรมาให้ หมวก ร่ม และกล้องถ่ายรูป เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาด แล้วพบกับใหม่กับทริปหน้าที่ “บางแสน” ครับ

 การเดินทาง

  • พระสมุทรเจดีย์ : จากแยกพระประแดง ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าตรงไป อำเภอพระสมุทรเจดีย์ เจอสามแยกหอนาฬิกาพระสมุทรเจดีย์ให้เลี้ยวซ้าย วิ่งตรงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สุดถนนจะเจอพระสมุทรเจดีย์
  • ป้อมพระจุลจอมเกล้า : จากแยกพระประแดง ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าตรงไป อำเภอพระสมุทรเจดีย์ เจอสามแยกหอนาฬิกาพระสมุทรเจดีย์ให้เลี้ยวขวา วิ่งตรงไปสุดถนนจะเจอป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือขึ้นรถโดยสารสองแถวจากพระสมุทรเจดีย์ ราคา 8 บาทตลอดสาย
  • วัดขุนสมุทรจีน : จากแยกพระประแดง ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าตรงไป อำเภอพระสมุทรเจดีย์ เจอสามแยะพระสมุทรเจดีย์ให้เลี้ยวขวา วิ่งตรงไปประมาณ 7 กิโลเมตร ข้ามสะพานสรรพสามิตแล้วเลี้ยวขวา ขับตรงไปอีก 7 กิโลเมตร เจอท่าเรือป้ารี่แล้วจอดรถนั่งเรือต่อไปยังวัด 
  • พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ : ใช้เส้นทางด่วน ปลายทางที่บางนา – สมุทรปราการ ลงเส้นถนนสุขุมวิท ตรงไปทางสำโรง ผ่านบิ๊กซี (สำโรง) ชิดซ้ายแล้วเลี้ยงซ้ายกลับรถใต้ทางด่วน มีสถานที่จอดรถฟรีใต้ทางด่วน พร้อมรถวิ่งบริการรับ-ส่ง พิพิธภัณฑ์ฯ
  • สถานตากอากาศบางปู : ใช้ถนนสุขุมวิท (ชลบุรีสายเก่า) หลักกิโลเมตรที่ 37 เยื้องนิคมอุตสาหกรรมบางปู

 5,630 total views,  2 views today

Comments

Share.

Leave A Reply

Exit mobile version