ตอนนี้ประเทศไทยเรามีเหตุการณ์วิกฤตน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น หรือเรียกกันว่า “มหาอุทกภัย” นั่นเอง การที่ประเทศไทย บ้านของเราเกิดน้ำท่วมขึ้นหลายจังหวัดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ที่ไหนโดนน้ำท่วมหากไม่อพยพก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้ การเดินทางออกมาทำงาน หรือหาของกินของใช้ก็ค่อนข้างลำบาก ทั้งขึ้นรถต่อเรือ ใช้เวลาเดินทางนานขึ้น แต่ถ้าใครเลือกที่จะอพยพ “เงิน” ถือเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีพ หากโชคดีหน่อยอาจมีบ้านญาติที่ไม่โดนน้ำท่วมเอื้อเฟื้อให้เป็นที่พักพิงชั่วคราวก็พอจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ต้องหาทางแก้กันต่อไป แต่ถึงอย่างไรชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป เราชาวคู่หูเดินทางของเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกคน…ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเราด้วยเช่นกัน

ถึงฝนจะตก ถึงฟ้าจะร้อง อากาศจะร้อน น้ำจะท่วม เราก็ไม่หวั่นที่จะหาเรื่องราวที่เที่ยวดีๆ มานำเสนอท่านผู้อ่านเหมือนเช่นเคย วันนี้เราจะพาไปแอ่วเมืองเหนือกันที่เมืองสามหมอก แม่ฮ่องสอน เพราะที่นี่อากาศหนาวเริ่มมาเยือนแล้ว… ปีใหม่นี้หากใครยังไม่มีแพลนว่าจะไปไหน แม่ฮ่องสอนก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน!

จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทยมีความโดดเด่นหลายลักษณะโดยเฉพาะสภาพภูมิประเทศความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและความหลากหลายของประชากรจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์นับเป็นจังหวัดที่สถิติน่าสนใจหลายอย่างเช่นมีประชากรเบาบางที่สุดในประเทศและมีประชากรน้อยมากเป็นอันดับ 5 ในขณะที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ

แม่ฮ่องสอนได้ชื่อว่าเป็น เมืองสามหมอก เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน สภาพอากาศมีหมอกปกคลุมตลอดเวลาส่วนใหญ่ของปี นอกจากนี้แม่ฮ่องสอนยังนับเป็นพื้นที่ปลายสุดด้านตะวันตกของประเทศ คือที่เส้นแวง 97.5 องศาตะวันออกในเขตอำเภอแม่สะเรียง (ตะวันออกสุดของประเทศ อยู่ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ที่ 105.5 องศาตะวันออก)

ประชากรในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความหลากหลายทั้งคนเมืองชาวไต (ไทใหญ่) จีนฮ่อพม่าและชาวเขาเผ่าต่างๆราวร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมดได้แก่ม้ง (แม้ว) ลีซู (ลีซอ) ล่าหู่ (มูเซอ) ลัวะและปกฺกะญอ (กะเหรี่ยง) เป็นต้นโดยต่างรักษาวัฒนธรรมของตนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีขณะเดียวกันก็อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านที่มีวัฒนธรรมต่างกันได้โดยไม่เคยปรากฏความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมแต่อย่างใด

เริ่มต้นเที่ยวจากในตัวเมืองกันก่อนเราขอพาท่านไปกราบสักการะอนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชา  อยู่ต้นถนนขุนลุมประพาสเดิมชื่อชานกะเลเป็นชาวไทยใหญ่ได้รวบรวมผู้คนตั้งหมู่บ้านชื่อว่า “บ้านขุนยวม” ต่อมาได้ยกขึ้นเป็นเมืองจวบจนปีพ.ศ. 2417 จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองแม่ฮ่องสอนและพระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าครองนครเชียงใหม่ได้ยกบรรดาศักดิ์ชานกะเลเป็นพญาสิงหนาทราชาและได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกเมื่อกราบสักการะเสร็จเรียบร้อยร้อยแล้วให้มุ่งหน้าตรงขึ้นไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตรก็จะพบกับวัดพระธาตุดอยกองมูตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเดิมมีชื่อเรียกว่าวัดปลายดอยเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดยจองต่องสู่เมื่อพ.ศ. 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระซึ่งนำมาจากประเทศพม่าส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อพ.ศ. 2417 โดยพญาสิงหนาทราชาเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกจากวัดพระธาตุดอยกองมูนี้สามารถมองเห็นภูมิประเทศและสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจนและสวยงามมากสามารถมาเที่ยวชมพบความสวยงามที่แตกต่างของที่นี่ได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน

อีกวัดหนึ่งที่มีความสวยงามและเลื่องชื่อเช่นกันคือวัดจองกลางและวัดจองคำเป็นวัดที่มีพื้นที่ติดกันอยู่ติดกับหนองจองคำซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะกลางเมืองแม่ฮ่องสอนโดยส่วนใหญ่จะมีการจัดงานประเพณีวัฒนธรรมต่างๆบริเวณหนองน้ำจองคำแห่งนี้อาทิงานลอยกระทงงานสงกรานต์เป็นต้นเมื่อมาถึงยังหนองน้ำแล้วให้หันหน้าเข้าวัดวัดที่อยู่ด้านซ้ายมือจะเป็นวัดจองคำ  ส่วนขวามือจะเป็นวัดจองกลาง  สองวัดนี้สร้างด้วยศิลปะแบบไทยใหญ่ที่มีความงดงามมากทั้งคู่ โดยเฉพาะศิลปะการสร้างอาคารแบบหลังคาซ้อนชั้นที่เรียกว่า “จอง”  นอกจากนี้ภายในวัดยังมีเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญที่สวยงามโดยวัดจองคำถือว่าเป็นวัดแห่งแรกของเมืองแม่ฮ่องสอนถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2340 เมื่อมาถึงวัดจองคำแล้วอย่าลืมไปกราบสักการะหลวงพ่อโตองค์ใหญ่เพื่อเป็นสิริมงคลเมื่อเดินถัดมายังบริเวณวัดจองกลางซึ่งจะมีจุดเด่นคือเจดีย์ประธานทรงมอญที่ประดับสวยงามตามรูปแบบของไทยใหญ่บนจองจะประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลองปิดทองเหลืองอร่ามทั้งองค์  บริเวณด้านข้างจะเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งด้านในจัดแสดงของเก่าที่หาชมยาก  มีตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปคนและสัตว์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวชสันดรชาดกโดยช่างฝีมือชาวพม่าเปิดให้ชมทุกวันเวลา 08.00-18.00 น.

บริเวณถนนด้านหน้าของวัดจะจัดเป็นถนนคนเดินในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเปิดทุกวันประมาณ 5 โมงเย็นถึงสี่ทุ่มแล้วแต่จำนวนความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวจะมีสินค้ามาวางขายมากมาย  ทั้งของกินและของใช้เพิ่มสีสันให้เมืองดูคึกคักยิ่งขึ้น

และถ้าหากใครมาเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคมก็อาจจะได้โบนัสกลับไปคือการชมทุ่งดอกบัวตองที่บานสะพรั่งเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขากว่า 1,000 ไร่อยู่ห่างจากอำเภอแม่เสรียงประมาณ 16 กิโลเมตรริมทางหลวงหมายเลข 108 บริเวณกิโลเมตรที่ 84 ตำบลแม่เหาะซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา  พร้อมทั้งยังมีบริการให้เช่าเต็นท์ค้างแรมบนดอยได้ด้วยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่บริเวณหน่วยทำการบนทุ่งบัวตองหรือที่อำเภอขุนยวมโทร. 0-5369-1108

อีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดคือการมาเที่ยวชมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวห้วยเสือเฒ่าอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองการเดินทางสะดวกถนนคอนกรีตอย่างดีมีฝายน้ำล้นเป็นช่วงๆการเดินทางมาเที่ยวที่นี่อย่างคาดหวังว่าเราจะได้เห็นวิถีชีวิตแบบเดิมๆของพวกเขาเพราะความเจริญได้เข้ามาทำให้วัฒนธรรมบางอย่างของที่นี่อาจจะหายไปบ้างการแต่งกายของคนยุคใหม่เริ่มดูเป็นเมืองมากขึ้นแต่บางคนก็ยังคงอนุรักษ์ไว้แต่ก็ยังคงเสน่ห์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้มาแวะเวียนกันอย่างไม่ขาดสายผู้คนดูอัธยาศัยใจคอดียิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติการมาเที่ยวที่นี่นอกจากจะถ่ายรูปกับชนเผ่าเป็นที่ระลึกแล้วเค้ายังมีชุดให้เราเช่าถ่ายแต่งตัวเหมือนกับชนเผ่าอีกด้วยโดยมีร้านขายของที่ระลึกเช่นเสื้อยืดพวงกุญแจโปสการ์ดและตุ๊กตาไม้รูปสาวกระเหรี่ยงคอยาวอยู่ตลอดทางเดินเสียค่าผ่านทางคนละ 20 บาท

ห่างจากจุดนี้ไปอีกไม่ไกลก็จะได้พบกับ “ภูโคลนคันทรี่คลับ” เป็นสถานที่ทำหน้าใสพอกหน้าสวยด้วยโคลนธรรมชาติซึ่งที่นี่เป็นแหล่งโคลนสุขภาพที่ดีที่สุดในประเทศไทยซึ่งในโลกมีเพียง 3 แห่งเท่านั้นคือที่ทะเลสาป DEAD SEA ในประเทศอิสราเอลและจอร์แดนซึ่งเป็นโคลนจากทะเลน้ำเค็มและอีกที่คือโคลนจากลาวาภูเขาไฟในประเทศโรมาเนียส่วนโคลนของที่นี่ถือเป็นอันดับ 3 ของโลก  เป็นโคลนเดือนบริสุทธิ์สีดำที่ขึ้นมาพร้อมกับสายน้ำแร่ธรรมชาติใต้ดินที่สะอาดมีอุณหภูมิอยู่ที่ 60 – 140 องศาเซลเซียสไม่มีกลิ่นของกำมะถันอุดมด้วยแร่ธาตุถึง 6 ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนของร่างกายค่าบริการพอกหน้าอยู่ที่ 60 บาทต่อท่านใช้เวลาประมาณ 15 นาทีหากท่านใดมีเวลาเหลือเฟือแล้วอยากจะลองพอกโคลนทั้งตัวเพื่อพลัดเซลล์ผิวเก่าก็ทำได้สนนราคาท่านละ 700 บาทสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-5361-2265 หรือที่www.pooklon.com

เสร็จสรรพจากที่นี่แล้วแวะไปนอนรับไอหนาวเย็นๆกับทะเลสาบอันสุดแสนโรแมนติกและสวยที่สุดในประเทศไทย (ตามความเห็นของเรา) กันที่ “ปางอุ๋ง” หรือที่มีชื่อเรียกเต็มๆว่า “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” เป็นที่ที่สร้างความประทับใจให้กับเราเป็นอย่างมากมาแล้วก็อยากจะมาอีกทุกๆปีเลยก็ว่าได้งดงามทั้งธรรมชาติและบรรยากาศสวยตลอด 24 ชั่วโมงโดยเฉพาะในฤดูหนาวอย่างนี้คุณจะได้เห็นสายหมอกหยอกล้อกับสายน้ำท่ามกลางขุนเขาและป่าสนให้เราบรรยายอย่างไรก็คงไม่เท่ากับที่คุณได้มาสัมผัสเองมีบริการให้เช่ารถจักรยานที่ปั่นแล้วได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจจะนั่งม้าแคะเที่ยวชมรอบพื้นที่ก็ได้หรือถ้าใครไปกับคนรักขอแนะนำให้เช่าแพนั่งชิลล์ๆกลางสายน้ำก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ 1 ลำนั่งได้ 2-3 คนพร้อมคนพายราคา 150 บาทมีให้เลือกพักทั้งแบบบ้านพักของโครงการฯโฮมสเตย์ของชาวบ้านและลานกลางเต้นท์เลือกได้ตามชอบห้องน้ำสะอาดกว้างขวางมีลานจอดรถเทปูนอย่างดีหากนักท่องเที่ยวต้องการค้างแรมต้องลงทะเบียนผ่านศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอนก่อนจึงจะสามารถนำรถเข้าปางอุ๋งได้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-5361-1244 หรือ 08-5618-3303

เราของปิดท้ายทริปนี้กันที่ “อำเภอปาย” อำเภอยอดนิยมของที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักแม่ฮ่องสอนมากขึ้นที่นี่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแหล่งเช่นก่อนที่เราจะถึงตัวเมืองปายขอให้แวะเที่ยวชมมหัศจรรย์ธรรมชาติที่ “กองแลน” อยู่ด้านซ้ายมือมีลักษณะคล้ายๆแพะเมืองผีที่แพร่แต่มีทางเดินเล็กๆให้เดินเที่ยวชมแบบเสียวๆเหมือนเดินอยู่บนยอดหน้าผาเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศาเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม

 

เลยไปอีกหน่อยด้านขวามือก็จะได้พบกับป้าย “โป่งน้ำร้อนท่าปาย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังเหมาะที่จะมาเล่นน้ำอาบน้ำแร่จากธรรมชาติตามธารน้ำเมื่อเดินเข้าไปถึงด้านในสุดก็จะเห็นบ่อน้ำที่มีลักษณะน้ำเดือดผุดๆสามารถนำไข่มาต้มได้อุณหภูมิความร้อนอยู่ที่ 80 องศาเซลเซียสซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดน้ำแร่ระหว่างทางออกก็จะพบเห็นแคมป์ช้างมากมายคอยให้บริการนักท่องเที่ยวจะขึ้นนั่งเที่ยวป่าหรือซื้ออาหารเลี้ยงช้างก็ได้

เลยจากจุดนี้ไปก็จะพบกับสะพานเหล็กสีเขียวโดดเด่นอยู่ระหว่างทาง นั่นคือ “สะพานประวัติศาสตร์” ที่นักท่องเที่ยวส่วนมากจะไปยืนโพสต์ท่าสวยๆ กันที่นี่ เป็นสะพานที่ทหารญี่ปุ่นสร้างไว้ใช้ข้ามแม่น้ำปายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

พอตกเย็นแวะเดินเล่นที่ “ถนนคนเดินปาย” ในช่วงฤดูท่องเที่ยวจะเปิดขายกันทุกวันมีทั้งงานอาร์ตของที่ระลึกของฝากเสื้อยืดผ้าพันคอกระเป๋าของกิน … เยอะแยะไปหมดเรียกว่าถ้ามาเดินเล่นแล้วจะต้องให้มีเหตุให้คุณได้ควักเงินออกจากกระเป๋าแน่นอน

ช่วงเช้ามืดแนะนำให้ไปดูทะเลหมอกที่บ้านสันติชนเลยจากศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนานขึ้นไปประมาณ 1.6 กิโลเมตรทางลาดชันสามารถติดต่อรถของชาวบ้านขึ้นไปได้บางคนจะขึ้นไปรอแสงพระอาทิตย์ยามเช้าตั้งแต่ 04.30 น. เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจเช่นกันพอสายๆก็ลงมาเดินเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนานบ้านสันติชลซึงมีบ้านดินตั้งเรียงรายอยู่มีร้านขายของที่ระลึกที่ทำจากบ้านดินร้านอาหารจีนยูนานและมีก้อนหินสลักชื่อภาษาจีนตัวใหญ่ๆวางเด่นเป็นสง่าด้านหลังก้อนหินใช้เป็นเวทีกลางแจ้งมีร้านกาแฟร้านขายชาและร้านวาดรูปเหมือนโดยใช้พู่กันจีนอีกจุดหนึ่งที่ดูสะดุดตาก็คือชิงช้าไม้ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางสนามหญ้าที่รายล้อมไปด้วยที่พักซึ่งเป็นบ้านดินโดยมีที่จอดรถอยู่ด้านหน้าศูนย์ฯ

ก่อนกลับเข้าไปในตัวเมืองปายอีกครั้งควรแวะ “วัดน้ำฮู” เพื่อกราบสักการะพระอุ่นเมืองพระพุทธรูปสิงห์สามอายุประมาณ 500 ปีสร้างด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์หน้าตักกว้าง 28 นิ้วสูง 30 นิ้วปางมารวิชัยพระพุทธรูปองค์นี้มีพระเศียรกลวงส่วนบนเปิดปิดได้โดยมีน้ำซึมออกมาอยู่เสมอชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมของน้ำมนต์ที่ออกจากเศียรท่านไปสักการะบูชาเพราะถือว่าเป็นสิ่งอันเป็นมงคลอย่างหนึ่ง

ที่ปายมีทั้งที่กินและที่พักให้เลือกมากมาย ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน สนนราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน ยันหลักหมื่นกันเลยที่เดียว

ด้วยพื้นที่ที่จำกัด ฉบับนี้เราเลยขอจบทริปการพาไปสัมผัสอากาศหนาวที่แม่ฮ่องสอนแต่เพียงเท่านี้ก่อน โอกาสหน้าเราจะเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าสนใจอื่นๆ มาให้คุณผู้อ่านได้สนุกตื่นตาไปกับเรา ทั้งจุดชมวิวดอยกิ่วลม ถ้ำลอด ถ้ำปลา ป่านสน และ ห้วยน้ำดัง เป็นต้น

       ความสุขจากการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่การถึงจุดมุ่งหมายแต่อยู่ที่สีสันความสนุกระหว่างทาง 

และผู้ที่ร่วมทางไปกับเรา

Tips การเดินทาง

•   รถยนต์ส่วนตัว

มีให้เลือก 3 เส้นทาง คือ

– เส้นทางที่ 1 : ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ไปจนถึง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 106 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1103 เส้นทางนี้จะผ่านเข้าสู่อำเภอฮอด  แล้วจึงใช้ทางหลวง หมายเลข 108 สู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีถนนเพียงสายเดียว คือ ทางหลวงหมายเลข 108 ผ่านอำเภอ หางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด แม่สะเรียง แม่ลาน้อย และขุนยวม มาถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน รวมระยะทางประมาณ 349 กิโลเมตร เส้นทางสายนี้ระยะทางไกลเป็นทางตัดขึ้นเขาสูง แต่มีความสวยงามและคดเคี้ยวนับได้มากถึง 1,864 โค้ง

– เส้นทางที่ 2 : ใช้ทางหลวงสายเอเชีย ผ่านจังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชรจนถึงลำปาง จากนั้นเข้าทางหลวง หมายเลข11 จนถึงเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน เข้าทางอำเภอแม่แตง-อำเภอปาย โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 107  แล้วเข้าแยกซ้ายสู่แม่แตง ตามทางหลวงหมายเลข 1095 (เส้นทางสายแม่มาลัย-ปาย) ตัดจากอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่อำเภอปายจนถึงแม่ฮ่องสอน เส้นทางนี้ยังเป็นเส้นทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย อาทิ ห้วยน้ำดัง และถ้ำต่างๆ เป็นถนนลาดยางอย่างดีตลอดสาย

– เส้นทางที่ 3 : เส้นทางนี้สั้นกว่าเส้นทางแรก แต่ระหว่างทางจะไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ และสิ่งอำนวยความสะดวก ออกจากเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข108 ผ่านอำเภอ หางดง-สันป่าตอง-จอมทอง- ฮอด จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 20 เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1088 ผ่านอำเภอแม่แจ่ม ไปเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1263 ที่สามแยกแม่ศึก บ้านแม่นาจร ผ่านปางอุ๋ง แยกดอยแม่อูคอ แล้วมาเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 108 มุ่งสู่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

จากกรุงเทพฯ มีรถโดยสารปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งกรุงเทพฯ (จตุจักร) ทุกวัน สอบถามรายละเอียดและตารางเดินรถได้ที่ Call Center  โทร.1490 เรียก บขส.

 2,972 total views,  3 views today

Comments

Share.

Leave A Reply

Exit mobile version