+ กำจัดแก๊สในร่างกายด้วยท่าง่ายๆ |
|
|
|
หลายๆ คนมีลมอัดแน่นอยู่ในช่องท้องจนอยากเรอ อยากผายลมอยู่บ่อยๆ บางคนทั้งเรอและผายลมแล้วก็ยังรู้สึกว่ามีลมหลงเหลืออยู่ ส่งผลให้ท้องอืดเกิดอาการไม่สบายท้อง มีอีกวิธีที่สามารถช่วงขับลมที่ไม่ต้องการออกจากช่องท้องได้ นั่นคือ การยืดเส้นยืดสายในท่า ‘นอนกอดเข่า ซึ่งท่านี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงนอนราบ จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาถึงยอดอก พร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าเอาไว้ แล้วหายใจเข้าและออก ก่อนยกศีรษะโน้มเข้าหาเข่า จากนั้นตะแคงตัวไปด้านข้างขณะที่ยังนอนกอดเข่าอยู่ โดยตะแคงค้างนาน 10 วินาทีแล้วเบี่ยงตัวกลับท่าเดิม และตะแคงตัวไปอีกข้าง ท่านอนกอดเข่าแบบนี้ นอกจากจะช่วยขับลมแล้ว ยังสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวของคอและหลังได้อีกด้วย |
|
|
|
|
+ ช่วยตับขับพิษด้วยการเลือกอาหาร |
|
|
ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ ซึ่งการที่ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้นนอกจากหน้าที่ในการขับสารพิษแล้ว ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายต้องการ ตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย หากมีตัวช่วยที่เราสามารถนำเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระของตับได้น่าจะเป็นการดี และอาหารนี่แหละที่จะช่วยการทำงานของตับได้ อาหารอันดับต้นๆ ที่ช่วยตับในการล้างพิษได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้แก่ องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยปกป้องตับจากสารอนุมูลอิสระที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้อาหารที่มีวิตามินบีสูงอย่างธัญพืชที่ไม่ขัดสีต่างๆ และผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อย่างพืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียวทั้งหลายจะช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ ส่วนอาหารที่มีสาร “เลซิติน”ก็จะช่วยเสริมการทำงานของตับด้วย ซึ่งมีมากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา ส่วน “ธาตุสังกะสี” ที่มีมากในเนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่และหอยนางรมก็ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้นและไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคลอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายให้แก่ตับ และเพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็ง คือควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้อวัยวะหนึ่งเดียวนี้ช่วยขับพิษให้ ร่างกายได้อีกนาน รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
|
|
|
|
+ สาเหตุของอาการตะคริว |
|
|
|
สาเหตุการเกิดตะคริวนั้นไม่ทราบแน่ชัดจากการวิจัย แต่พบว่าเมื่อร่างกายขาดน้ำ หรือออกแรงมากเกินไป ก็มักจะเกิดตะคริว เพราะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์ทำงานผิดปกติตามไปด้วย โดยการปรวนแปรของเกลือแร่เกิดขึ้นได้เพราะร่างกายมีปริมาณเกลือแร่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ซึ่งเกลือแร่ที่ส่งผลต่อการเป็นตะคริวก็ได้แก่ โซเดียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม รวมถึงยังพบว่า การไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งอยู่กับที่ หรือการนอนอยู่บนเตียง ก็ทำให้เป็นตะคริวได้เช่นกัน
นอกจากนี้โรคบางอย่างก็อาจทำให้เป็นตะคริวได้ เช่น เบาหวาน พาร์กินสัน ไทรอยด์ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โลหิตจาง โรคในระบบต่อมไร้ท่อ และยาบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันในเลือด ฯลฯ ดังนั้นหากเกิดอาการตะคริวบ่อยครั้งอย่านิ่งนอนใจ ควรตรวจสอบหาต้นตอของอาการและทำการแก้ไขรักษาให้ถูกต้อง
|
|
|
+ ช้า ช้า ชิวล์ ชิวล์บนโต๊ะอาหาร...เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า |
|
|
|
การเร่งรีบรับประทานนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ขอแนะนำให้นั่งลงเพื่อรับประทาน และคิดเสมอว่าคุณกำลังทานอะไรอยู่ อย่าทานในขณะที่เร่งรีบ นักวิจัยเปิดเผยว่าการทานอาหารที่โต๊ะทำงานเร็วๆ หรือในที่ประชุม ไม่ถือว่าเป็นมื้ออาหารสำหรับสมอง แต่เปรียบเสมือนของว่าง การรับประทานอาหารแบบเร่งรีบมักทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อยและพลังงานที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การนั่งอยู่กับโต๊ะพร้อมอุปกรณ์และมุ่งไปที่อาหารอย่างเดียว เคี้ยวทุกคำอย่างตั้งใจ ส่งผลที่ดีต่อการทำงานทุกส่วนของร่างกายและจิตใจ |
|
|
|
|